อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการตรวจวิเคราะห์โดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง มีหลักการคือ การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกจากหัวตรวจ (Probe) อัลตราซาวด์ผ่านส่วนต่างๆของร่างกายที่ต้องการตรวจ เมื่อคลื่นเสียงไปกระทบอวัยวะที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน ก็จะสะท้อนกลับมาที่หัวตรวจ (Probe) อัลตราซาวด์ และแปลงเป็นสัญญาณภาพปรากฏบนจอมอนิเตอร์
ปัจจุบันการตรวจด้วยเครื่องมือที่เรียกว่าอัลตราซาวด์ ถือเป็นการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยที่สำคัญทางรังสีวิทยาวิธีหนึ่ง การตรวจด้วยวิธีนี้จัดเป็นการตรวจที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเตรียมผู้ป่วยมากนัก เครื่องมือหาได้ง่าย ข้อมูลที่ได้จากการตรวจด้วยวิธีนี้แม้จะไม่มากเท่าเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่ก็ทำให้แพทย์สามารถรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่เบื้องต้นได้ โดยเฉพาะโรคในช่องท้อง
1. การตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง สามารถตรวจหาอะไรได้บ้าง?
การตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบน (Ultrasound Upper Abdomen) :
- ตับ (ตรวจหาเนื้องอก, ซีสต์, ตับอักเสบ, ตับแข็ง)
- ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี (นิ่วในถุงน้ำดี, การอุดตัน)
- ตับอ่อน (เนื้องอก, การอักเสบ)
- ไต (นิ่ว, ถุงน้ำ, การติดเชื้อ)
- ม้าม (ขนาดผิดปกติ, เนื้องอก)
- หลอดเลือดใหญ่ในช่องท้อง (การโป่งพอง)
การตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนล่าง (Ultrasound Lower Abdomen):
- กระเพาะปัสสาวะ (นิ่ว, ก้อนเนื้อ, การอักเสบ)
- มดลูกและรังไข่ในผู้หญิง (ซีสต์, เนื้องอก, ภาวะผิดปกติ)
- ต่อมลูกหมากในผู้ชาย (การโตผิดปกติ, เนื้องอก)
- ลำไส้บางส่วน (ตรวจหาก้อนหรือภาวะผิดปกติ)
2. ใครบ้างที่ควรตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง
2.1 ผู้มีอาการผิดปกติในช่องท้อง เช่น:
- ปวดท้องเรื้อรังหรือเฉียบพลัน
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือคลื่นไส้อาเจียน
- ปัสสาวะหรืออุจจาระผิดปกติ เช่น มีเลือดปน
- ตัวเหลือง ตาเหลือง (ภาวะที่เกี่ยวกับตับ)
2.2 กลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยเรื้อรัง:
- ผู้ป่วยเบาหวาน (เพื่อตรวจสภาพไต)
- ผู้มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งช่องท้อง
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง (เพื่อตรวจภาวะตับแข็ง)
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจเป็นระยะเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
2.3 ผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพประจำปี:
- เพื่อคัดกรองโรคและความผิดปกติที่อาจไม่มีอาการแสดงในระยะแรก
3. ประโยชน์ของการตรวจ
3.1 ช่วยวินิจฉัยโรคและภาวะผิดปกติ:
- ค้นหาสาเหตุของอาการปวดท้องหรือความผิดปกติในช่องท้อง
- ตรวจหาก้อนเนื้อหรือซีสต์ที่อาจเป็นมะเร็งในระยะแรก
3.2 การติดตามผลการรักษา: สำหรับผู้ที่ได้รับการรักษาโรคในช่องท้อง เช่น โรคตับ หรือโรคนิ่วในถุงน้ำดี
3.3 คัดกรองโรคในระยะเริ่มต้น: ช่วยลดความเสี่ยงของการลุกลามของโรคที่ตรวจพบในระยะแรก เช่น มะเร็งหรือการอักเสบเรื้อรัง
4. การเตรียมตัวก่อนการตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบนและส่วนล่าง มีความสำคัญเพื่อให้ได้ผลการตรวจที่ชัดเจนและแม่นยำที่สุด โดยมีคำแนะนำดังนี้:
4.1 การเตรียมตัวสำหรับการตรวจช่องท้องส่วนบน
- ควรงดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 4 - 6 ชั่วโมง ก่อนการตรวจ
- การงดอาหารช่วยลดการสะสมของแก๊สในลำไส้และช่วยให้เห็นอวัยวะ เช่น ตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อนได้ชัดเจน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยากหรือทำให้เกิดแก๊ส เช่น อาหารมัน, ถั่ว, น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีใยอาหารสูง
4.2 การเตรียมตัวสำหรับการตรวจช่องท้องส่วนล่าง
- ดื่มน้ำเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะเต็ม:
- ก่อนการตรวจ ควรดื่มน้ำประมาณ 1-1.5 ลิตร (4-6 แก้ว) และไม่ปัสสาวะจนกว่าจะถึงเวลาตรวจ
- กระเพาะปัสสาวะที่เต็มจะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของกระเพาะปัสสาวะ มดลูก รังไข่ หรือต่อมลูกหมาก
5. ข้อควรปฏิบัติทั่วไป
5.1 ยาประจำตัว: สามารถรับประทานยาที่จำเป็นได้ตามปกติ (ยกเว้นยาที่แพทย์แจ้งให้หยุด) แต่ควรรับประทานด้วยน้ำเปล่าปริมาณน้อย
สวมใส่เสื้อผ้าที่สะดวก:
5.2 ควรสวมเสื้อผ้าหลวมสบาย เพื่อความสะดวกในการตรวจ
5.3 แจ้งแพทย์หากมีเงื่อนไขพิเศษ:หากกำลังตั้งครรภ์ มีประวัติการผ่าตัดช่องท้อง หรือกำลังใช้ยาบางชนิด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
6.ข้อจำกัดของการอัลตร้าซาวด์
- อัลตราซาวด์ไม่สามารถใช้ตรวจอวัยวะส่วนที่มีลมได้ เช่น ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะอากาศจะไม่สะท้อนคลื่นสัญญาณกลับ ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณมาสร้างภาพได้
- อัลตราซาวด์ไม่สามารถใช้ตรวจอวัยวะที่เป็นกระดูก หรือถูกกระดูกบังได้ เพราะกระดูกจะสะท้อนคลื่นกลับหมด ไม่สามารถทะลุทะลวงลงไปยังอวัยวะต่างๆ ได้
ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ (สำนักงานใหญ่)
ศูนย์สุขภาพพร้อม มีโชค
ศูนย์สุขภาพพร้อม ลำปาง